Current Transformer
ในระบบไฟฟ้าแรงสูงและแรงต่ำ โดยเฉพาะในโรงงานอุตสาหกรรม สถานีไฟฟ้า หรืออาคารขนาดใหญ่ “CT” หรือ Current Transformer คืออุปกรณ์สำคัญที่ใช้แปลงกระแสไฟฟ้าสูงให้สามารถตรวจวัดหรือใช้งานได้อย่างปลอดภัยและแม่นยำ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ CT อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย หลักการทำงาน ประเภทต่าง ๆ ไปจนถึงการเลือกใช้งาน การติดตั้ง และข้อควรระวัง ครบถ้วนทุกมิติ สำหรับใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับงานไฟฟ้า หรือกำลังมองหาอุปกรณ์ตรวจวัดกระแสไฟฟ้าในระบบ
CT คืออะไร?
คำจำกัดความของ CT (Current Transformer) CT หรือ หม้อแปลงกระแสไฟฟ้า คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการแปลงค่ากระแสไฟฟ้าสูงในวงจรหลัก (Primary Side) ให้กลายเป็นค่ากระแสที่ต่ำลงและปลอดภัยสำหรับการใช้งาน เช่น 5A หรือ 1A เพื่อให้สามารถนำไปเชื่อมต่อกับอุปกรณ์วัด เช่น แอมป์มิเตอร์, มัลติมิเตอร์, พาวเวอร์มิเตอร์ หรือรีเลย์ป้องกัน
ความสำคัญของตัว CT (Current Transformer) ?
เพราะในระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่ กระแสไฟฟ้าอาจสูงถึงหลายพันแอมป์ ซึ่งอุปกรณ์วัดมาตรฐานไม่สามารถรองรับได้โดยตรง CT จึงทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่ปลอดภัยและแม่นยำสำหรับการวัดหรือควบคุมกระแส
หลักการทำงานของ CT (Current Transformer)
CT ทำงานตามหลักของหม้อแปลงไฟฟ้า โดยมี ขดลวดปฐมภูมิ (Primary winding) และ ขดลวดทุติยภูมิ (Secondary winding) โดยกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านวงจรหลักจะถูกแปลงเป็นกระแสขนาดเล็กในวงจรทุติยภูมิแบบ สัดส่วน (Ratio) เช่น: หากใช้ CT อัตราส่วน 1000:5 หมายถึงกระแส 1000A จะถูกแปลงเหลือ 5A อัตราส่วนนี้ใช้คำนวณค่าจริงของกระแสโดยการคูณย้อนกลับ

ภาพนี้แสดงหลักการทำงานของ หม้อแปลงกระแส (Current Transformer – CT)
ประเภทของ CT
1. CT แบบวงแหวน (Ring-type CT) ใช้งานโดยสอดสายไฟหลักผ่านแกน CT นิยมใช้มากที่สุดในระบบไฟฟ้าอุตสาหกรรม ขนาดกะทัดรัด ติดตั้งง่าย
2. CT แบบแบ่งแกน (Split-core CT) แกนสามารถเปิดออกได้ เหมาะสำหรับการติดตั้งภายหลัง ไม่ต้องตัดสายไฟเดิม เหมาะกับงาน retrofit หรือ PM
3. CT แบบบัสบาร์ (Bar-type CT) ใช้บัสบาร์เป็นขดลวดปฐมภูมิ มักใช้ในระบบแรงสูง ให้ความแม่นยำสูง
4. CT แบบหน้าปัด (Wound-type CT) มีขดลวดปฐมภูมิพันอยู่ภายใน CT ใช้ในงานวัดกระแสขนาดเล็ก การเลือก CT ให้เหมาะสม ปัจจัยที่ควรพิจารณา:
อัตราส่วนกระแส (Current Ratio): ควรเลือกตามกระแสสูงสุดที่ใช้จริง เช่น 300/5, 1000/5 เป็นต้น
Class ความแม่นยำ (Accuracy Class): เช่น Class 0.5, 1.0, 3.0 ขึ้นอยู่กับความต้องการของการวัด
ขนาดของรู CT: ต้องใหญ่พอสำหรับสายไฟหรือบัสบาร์ Burden หรือโหลด: ภาระที่ CT สามารถรองรับได้ เช่น 5VA, 15VA




CT ใช้งานอย่างไร?
Current Transformer เหมาะกับงานแบบใด
CT มีบทบาทสำคัญในหลายระบบ เช่น:
- ระบบตรวจวัด (Metering)
ใช้กับเครื่องมือวัด เช่น แอมป์มิเตอร์, พาวเวอร์มิเตอร์ เก็บข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้า (kWh) - ระบบป้องกัน (Protection)
ใช้เชื่อมกับรีเลย์ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร (Overcurrent relay) ตรวจจับกระแสผิดปกติเพื่อสั่งปลดเบรกเกอร์ - ระบบควบคุมอัตโนมัติ (Automation)
เชื่อมต่อกับระบบ SCADA หรือ PLC ส่งข้อมูลการใช้ไฟแบบเรียลไทม์
ข้อดีของ CT
- เพิ่มความปลอดภัย
CT ช่วยลดระดับกระแสไฟฟ้าสูงให้เหลือในระดับที่ปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์วัดและบุคลากร เช่น จากหลายร้อยแอมป์ให้เหลือเพียงไม่กี่แอมป์ - เหมาะกับการวัดกระแสสูง
สามารถใช้วัดกระแสไฟฟ้าระดับสูงในระบบไฟฟ้าอุตสาหกรรมหรือระบบจำหน่ายไฟฟ้าแรงสูงได้โดยไม่ต้องต่อเครื่องมือวัดตรงกับสายไฟแรงสูง - ใช้ร่วมกับอุปกรณ์ได้หลากหลาย
ใช้งานร่วมกับเครื่องมือวัดต่าง ๆ ได้ เช่น แอมป์มิเตอร์, พลังงานมิเตอร์, รีเลย์ป้องกัน, ระบบ SCADA ฯลฯ
ค่า Berden คืออะไร
🔍 ค่า Burden ของ CT คืออะไร? เข้าใจง่ายใน 2 นาที Burden (อ่านว่า เบอร์เดน) คือค่ากำลังไฟฟ้าที่สูญเสียในวงจร ด้านรอง (Secondary) ของ CT หรือ หม้อแปลงกระแสไฟฟ้า หน่วยที่ใช้คือ VA (โวลต์-แอมป์) พูดง่าย ๆ ก็คือ เมื่อเราต่ออุปกรณ์วัดกระแส เช่น แอมป์มิเตอร์ เข้ากับ CT ค่า Burden จะบอกว่า CT รับโหลดจากอุปกรณ์พวกนี้ได้มากแค่ไหน โดยรวมทั้ง: กำลังไฟฟ้าที่เสียในตัวเครื่องวัด ,กำลังไฟฟ้าที่เสียในสายไฟที่เชื่อมต่อ
💡 หลักการสำคัญ ถ้าอุปกรณ์ทั้งหมดที่ต่ออยู่ด้านรองของ CT ใช้พลังงานรวมกัน ไม่เกินค่า Burden ที่ CT กำหนด ความแม่นยำในการวัดจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ระบุไว้ (ตาม Class ของ CT)
📊 ตัวอย่างง่าย ๆ | ||
CT รุ่น | Class (ระดับความแม่นยำ) | ค่า Burden (VA) |
100/5A | Class 0.5 | 1.5 VA |
100/5A | Class 3 | 2.25 VA |
จากตารางจะเห็นว่า Class 0.5 มีค่า Burden น้อยกว่า Class 3 ❓ แล้วจะเลือก Class ไหนดี? แนะนำให้เลือก Class ที่มีเลขน้อยกว่าไว้ก่อน เช่น: เลือก Class 0.5 ดีกว่า Class 3 เพราะเลขยิ่งน้อย ความแม่นยำในการวัดยิ่งสูง
ติดต่อ
Email : sales03@amptron.th.com
Line : @amptron